เล่าสู่กันฟังวันนี้อยากเล่าเรื่องรถโตโยต้าไทเกอร์ COMMONRAIL D4D 2500 CC รุ่นปี คศ. 2002 ซึ่งเป็นรถที่ผมใช้งานมาจนถึงวันที่เขียนนี้ (2016) ระยะทางที่มันวิ่งได้ประมาณ สามแสนกว่ากิโลเมตร
เจ้าไทเกอร์คันนี้เป็นรถขับเคลื่อน 4 ล้อซึ่งตอนออกมาใหม่ ๆ ในสมัยนั้น เพื่อน ๆ รอบตัว ต่างเข้าใจว่า D4D หมายถึงระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แต่ที่จริงหมายถึงระบบจ่ายน้ำมันแบบใหม่ที่ใช้ในเครื่องดีเซลคือระบบหัวฉีดผ่านปั๊มแรงดันสูงแบบหนึ่ง (D4D COMMON-RAIL DIRECT INJECTION) นัยว่าอัตราสิ้นเปลืองต่ำกว่า, ให้แรงม้าสูงกว่า, มนพิษน้อยกว่า และเสียงเงียบกว่าระบบจ่ายน้ำมันแบบเก่า ซึ่งตอนที่ใช้งานใหม่ ๆ เมื่อสิบกว่าปีก่อน ผมวิ่งในเมืองที่ความเร็วระดับ 60, 80, 90 กม/ชม. (บางทีก็เร็วกว่านั้น) ได้อัตตราสิ้นเปลืองที่ 16 กม./ลิตร ตอนนี้เสือแก่ตัวนี้ก็ยังคงวิ่งได้ในระดับที่ประมาณ 14 กม./ลิตรในสภาพการใช้งานคล้าย ๆ กัน
รถคันนี้ส่วนใหญ่ใช้ไปกับการขับท่องเที่ยวต่างจังหวัด โดยในขณะที่ออกมานั้น เน้นไปที่กิจกรรมดูนก ต้องขนอุปกรณ์ตั้งแคมป์ เข้าที่ทุรกันดาร แต่ปัจจุบันสภาพแวดล้อมในประเทศไทยต่างออกไปจากเดิมเป็นอันมากในระยะเวลาหัวท้ายไม่ถึง 10 ปี นกในแหล่งธรรมชาติหาดูได้ยากขึ้นเรื่อย ๆ การใช้งานเจ้าไทเกอร์จึงได้ซา ๆ ไปมากในช่วงหลาย ๆ ปีหลังนี้
เนื่องจากมีความตั้งใจว่า ขับไปได้แค่ที่ทางจะให้ไป ไม่อยากให้ป่าเสียสภาพเนื่องจากการลุยเข้าไป เข้ารกเข้าพงเข้าป่าไปดูนก ขับไปหมดทางก็จอด จอดซุ่มรถไว้ อาศัยเท้าเดินเอา รถคันนี้จึงแทบไม่ได้ปรับแต่งมันไปจากสภาพเดิม ๆ จะมีก็เพียงใส่ WARN 4WD HUBS เข้าไปที่ล้อหน้าเพื่อลดภาระเพลาขับหน้าในกรณีที่ไม่ใช้การขับเคลื่อน 4 ล้อ เปลี่ยนช๊อคอัพเป็น RANCHO 9000 ทั้งหน้าหลัง และเปลี่ยนยางเป็น ALL TERRAIN วงใหญ่กว่ามาตรฐานที่ติดรถมานิดหน่อย ก็เพียงพอกับการที่มันจะพาผมไปดูนกกับเพื่อน ๆ ได้ในแทบทุก BIRDING SITES ใหญ่ ๆ ในเมืองไทย จะขาดก็แค่ป่า ฮาลาบาลา ที่ขณะกำลังจะเตรียมไปก็มีสถานการณ์ความรุนแรงที่ภาคใต้ซึ่งไม่รู้จะจบเมื่อไหร่ ยังหวังว่าวันนั้นเจ้าไทเกอร์ยังมีแรงพอจะพาผมไปที่นั่นได้
ความที่ตรวจเช็คศูนย์โตโยต้าประจำทำให้ตลอดเวลาสิบกว่าปีที่ใช้มัน ไม่เคยมีซักครั้งที่มันจะไปตายกลางถนน ถึงแม้ตอนนี้มันเริ่มแก่ ก็มีจุกจิกนิด ๆ หน่อย ๆ เป็นเรื่องธรรมดา แค่เปลี่ยนชิ้นส่วนตามที่หมดอายุตามสภาพเวลาและการใช้งาน ก็ยังสามารถพาผมไปไหน ๆ ได้เหมือนเดิม (แม้แรงจะถดถอยไปหน่อย คงต้องหาเวลาไปล้างเครื่องล้างท่อทางเดินน้ำมันสักวัน)
ในตอนที่น้ำมันดีเซลราคาแพงเมื่อหลายปีก่อน เคยขายกันที่ประมาณ 2 ลิตรร้อย (ราคานำ้มันดิบตลาดโลกขณะนั้นอยู่ในระดับเกือบ 110 US ดอลลาร์ต่อบาร์เรล) แต่น้ำมันปาล์มโอเลอินที่เราใช้รับประทานกันนั้นเพียง ยี่สิบกว่าสามสิบบาท ในตอนนั้นเจ้าไทเกอร์ก็อาศัยน้ำมันปาล์มที่ว่าเป็นน้ำมันหลัก เติมดีเซลผสมลงไปบ้าง ประหยัดค่าน้ำมันไปแยอะพอสมควร (เพื่อนบางคนรู้ว่าผมใช้วิธีนี้ ลองเอาน้ำมันปาล์มที่ว่าไปใช้เติมกับรถตัวเองที่เป็นรถกระบะยี่ห้อยุโรปยี่ห้อหนึ่ง ปรากฏว่า COMMON RAIL พังต้องรื้อเปลี่ยนทั้งชุด แต่เจ้าไทเกอร์กินได้สบาย แถมวิ่งราบรื่นดีกว่าใช้ดีเซลเสียอีก เสียดายขณะนี้น้ำมันปาล์มมันแพงกว่าดีเซลมาก) ตอนนั้นไปดูนกที่ไหน ๆ ก็ซื้อน้ำมันปาล์มติดรถไว้เป็นลัง
เรื่องเจ้าไทเกอร์นี้ก็คงไม่มีอะไรมาก เพียงแต่จะดูว่าจะใช้มันได้ถึง ครึ่งล้านกิโลเมตร หรือ หนึ่งล้านกิโลเมตรไหม ส่วน BLOG นี้ก็คงจะคอยนำเรื่องนี้เรื่องนั้นจากประสบการณ์จริงที่ผ่านมาหลายสิบปีมาเล่าสู่กันฟัง